การทดสอบระบบมิดฟิลด์ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต

การทดสอบระบบมิดฟิลด์ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต

ยังคงติดตามเรื่องราวการวิเคราะห์แผนการเล่นของทีมชาติอังกฤษ มันไม่น่าเชื่อว่าในยุคสมัยนี้ทีมอย่างอังกฤษที่แต่เดิมนั้นคือทีมที่เน้นแต่การตะบี้ตะบันเปิดบอลยาวจากแดนหลังให้กองหน้าควบไปเก็บบอลเล่นเอาเอง หรือโยนบอลออกปีก แล้วให้ปีกครอสบอลโด่งเข้ามาให้กองหน้าปิดสกอร์ แต่พวกเขาเริ่มให้ความสำคัญกับการเล่นปั้นเกมจากแดนกลางมากขึ้น เหมือนอย่างที่ทีมฟุตบอลชั้นนำทำกันมาในช่วงหลายสิบปีมานี้ ประเด็นที่ทีมชาติอังกฤษกำลังทำงานอย่างหนักก็คือ การทดลองแผนการเล่น 4-2-4 ที่ซึ่งเรียกกันตรงๆว่าเป็นแผนการเล่นที่เสี่ยงเอาเรื่อง

ถ้าหากคุณเป็นคอบอลที่เคยศึกษาระบบการเล่นฟุตบอลมาบ้าง คุณจะทราบทันทีเลยว่าแผนการเล่นที่ยัดกองหน้าลงไป 4 คน แล้วใช้งานมิดฟิลด์แค่ 2 คนเท่านั้น มันคือแผนการเล่น “เมจิก แมกยาร์” ในตำนานของทีมชาติฮังการียุค 50 และต้องยอมรับกันว่าในยุคสมัยก่อน ทีมชาติหรือสโมสรส่วนใหญ่ เน้นการเล่นที่เอ็นเตอร์เทนจริงๆ และกองกลางของฮังการีนั้น เป็นนักเตะที่เน้นเกมรุกเป็นหลัก ส่วนเกมรับเป็นยังไงก็ช่าง เพราะจุดขายของพวกเขาคือ “ยิงประตู” จากการเล่นของ 4 ศูนย์หน้าล้วนๆ
แต่นี่คือยุคสมัยปัจจุบัน การเล่นฟุตบอลมันมีอะไรให้ลึกซึ้งมากกว่านั้นมากมาย และทีมชาติอังกฤษที่ใช้แผนกองกลาง 2 คน แถมยังใช้งาน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เดคลัน ไรซ์ ลงมาเล่นนั้นก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างชัดเจนว่ามันเสี่ยงเอาเรื่อง เพราะทั้งคู่เป็นมิดฟิลด์เชิงรับด้วยกันทั้งคู่ ส่วนตัวของ เมสัน เมานต์ ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับเขาแล้วนั้น การเล่นของเขาก็ยังห่างไกลจากผลงานที่เจ้าตัวทำได้ในทีมเชลซี และเขามีโอกาสเพียง 21 ครั้งในการสัมผัสบอลตลอดในช่วงเวลา 45 นาทีแรก ซึ่งเขาไม่สามารถแสดงผลงานที่ดีได้เท่าไหร่ ส่วนหนึ่งมันอาจจะเกิดจากการที่เจ้าตัวโดนจับไปยืนเป็นเหมือนกองหน้าตัวที่ 2 ในแดนหน้า มันต่างจากช่วงเวลาที่เขาสวมใส่เสื้อทีมเชลซีมากเลยจริงๆ

นอกเหนือจากความทะเยอทะยานที่อยากจะเล่นเกมรุกของอังกฤษแล้วนั้น การครอบครองบอลที่มีสถิติค่อนข้างสูงก็ทำให้อังกฤษดูจะมีความน่ากลัวในเรื่องการยิงประตู แต่ว่าพอแผนการเล่นมันเปลี่ยนเท่านั้นแหละ อังกฤษก็เลยเสียท่าเข้าให้ กว่าที่เซาท์เกทจะรู้ตัว เขาก็รีบกลับไปใช้งานแผน 4-3-3 ทันทีในครึ่งเวลาหลัง แต่การผ่านบอลของไรซ์ก็ไม่ได้เป็นการผ่านบอลที่สร้างสรรค์มากเท่าไหร่นัก เพราะเจ้าตัวเน้นโยนบอลยาวที่ไม่ได้สร้างสรรค์มากกว่าจะเล่นเพรสซิ่งหรือหาทางแทงบอลทะลุช่องให้กองหน้าเล่นได้ง่ายๆ
ประสิทธิภาพครึ่งแรกที่ย่ำแย่จนทำให้ทีมต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันนั้น ทำให้การเล่นในช่วงครึ่งหลังนั้นทีมชาติอังกฤษดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่พวกเขายังคงมีผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานอยู่ดี และเมื่อการเล่นเกมรับก็ไม่ดี มันก็เลยเป็นช่วงเวลาห้านาทีอันกลายเป็นนรกของทัพสิงโตคำราม มันทำให้สาธารณรัฐเช็กคว้าชัยชนะได้สำเร็จในเกมดังกล่าว หลังจากการเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย ได้มีการกางสถิติออกมาว่าไม่มีผู้เล่นทีมชาติอังกฤษคนไหนเสียการครองบอลมากกว่าเฮนเดอร์สันอีกแล้ว (เสียบอล 20 ครั้ง) และคีน (เสียบอล 15 ครั้ง) แถมยังไม่สามารถช่วยเชื่อมเกมกับเพื่อนได้เลย

ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ น่าจะต้องยอมรับได้แล้วว่าเขาหมดเวลาหาคำตอบแล้ว เพราะในเกมที่เจอกับบัลแกเรียในวันจันทร์ที่ผ่านมาก็วัดอะไรไม่ได้ แม้จะยิงเละเทะ 6-0 แต่บัลแกเรียไม่ใช่คู่ต่อสู้ในระดับที่วัดแววกับทีมชาติอังกฤษได้ และยูโรจะเริ่มแข่งขันปีหน้าแล้ว ตอนนี้พวกเขาจะต้องคัดเลือกสองนักเตะที่เหมาะสมกับแผนการเล่นในแดนกลาง มาเล่นในเดือนพฤศจิกายน และมีเกมอุ่นเครื่องในเดือนมีนาคม และสุดท้ายคือสองเกมอุ่นเครื่องก่อนไปลุยสนามจริงคือยูโร 2020

ในแง่ของระบบ เขาน่าจะกลับไปใช้งานแผน 4-3-3 แต่คำถามยังคงอยู่ที่ว่า นักเตะคนไหนจะเหมาะกับการส่งลงสนามในฐานะมิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกม วิงค์ควรได้รับโอกาสหรือไม่ เซาท์เกทยึดติดกับ เมานต์ แต่ถ้าจะให้เขาเล่นในบทบาทที่ยืนต่ำกว่านี้มันเป็นไปได้หรือไม่ หรือ รอสส์ บาร์คลีย์ ทำอะไรได้ดีกว่านี้ได้มากพอหรือไม่ แล้วตัวของ เดเล อัลลี และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอเลน จะมีความหวังพอที่จะกลับมาช่วยทีมได้หรือไม่ ปัญหาอื่นๆ ที่มีอยู่ก็ยังมีอีกมากเลยทีเดียว เช่น แนวรับ
มันยังมีการถกเถียงกันว่าใครควรเป็นพาร์ทเนอร์ในแนวรับร่วมกับตัวของ แมกไกวร์ ที่เล่นเป็นกองหลังตัวกลาง เพราะด้วยประสิทธิภาพที่แย่มากจากการเล่นของ คีน ที่ทำให้อังกฤษโดนตีเสมอ และเขาก็หลุดออกนอกตำแหน่งบ่อยครั้ง ตอนนี้อังกฤษต้องหานักเตะที่ดีและมาช่วยทีมให้ได้เร็วที่สุด งานใหญ่ของ เซาท์เกท กำลังรอเขาอยู่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถหาคำตอบที่มีประสิทธิภาพได้มากกว่านี้ ผลงานของเขาในฤดูร้อนหน้าที่จะถึงนี้ อาจจะเลวร้ายเกินกว่าที่จะมีใครคาดคิด และเขาอาจจะแก้ไขมันไม่ทันแล้วก็ได้