“ถ้าผมเป็น โอบาเมยอง ผมก็จะย้ายออกจากทีม” กล่าวโดย เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ตำนานของ อาร์เซน่อล และอดีตนักเตะในชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกไร้พ่าย

อนาคตของ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง กัปตันทีมคนปัจจุบันของทีมกลายเป็นเครื่องหมายคำถามมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อปัจจุบันเหลือสัญญาอยู่กับทีมอีกเพียงปีเดียวเท่านั้น และนักเตะทำท่าจะปฏิเสธต่อสัญญาฉบับใหม่ด้วย ทำให้มีโอกาสที่ทีมจากกรุงลอนดอนจะเสียนักเตะออกไปแบบไม่มีค่าตัวในช่วงซัมเมอร์หน้า หากนักเตะยังอยู่กับทีมต่อไปในฤดูกาล 2020-21

หากสุดท้ายมีการยืนยันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของดาวยิงชาวกาบอง หากนักเตะตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะย้ายออกจากทีมเพื่อหาความสำเร็จ รวมถึงการลงเล่นในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ล้วนเป็นรายชื่อทีมที่แสดงความสนใจในตัวนักเตะ และมีศักยภาพในการคว้าลายเซ็นของนักเตะไปร่วมทีม

โอบาเมยองกลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร เมื่อตอนที่ย้ายจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทีมในเดือนมกราคมปี 2018 ด้วยค่าตัว 56 ล้านปอนด์ โดยดาวยิงวัย 31 ปี ทำไปได้ 61 ประตู จากการลงสนาม 99 เกมรวมทุกรายการ โดยคว้ารางดาวซัลโวร่วมกับโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ และซาดิโอ มาเน่ สองนักเตะจากลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา

อาร์เซน่อลไม่สามารถคว้าแชมป์มาได้ตั้งแต่ปี 2017 โดยทีมยังพลาดการเข้าร่วมการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มา 4 ฤดูกาล และฤดูกาลนี้ก็ยังมีโอกาสพลาดด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อทีมรั้งอยู่ในอันดับที่ 12 ของตารางคะแนน หลังจากบุกไปแพ้ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใน 2 เกมล่าสุด หลังพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019-20 กลับมาแข่งขันอีกครั้ง และหากสุดท้ายแล้ว โอบาเมยองเลือกที่จะย้ายออกจากทีม อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของสโมสรด้วยก็ได้

เปอตีต์ กล่าวว่า “ถ้าผมเป็นปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ผมจะย้ายออกจากอาร์เซน่อล กับศักยภาพของทีมนี้ เมื่อเทียบตอนที่คุณย้ายมาร่วมทีม และสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ถ้าคุณต้องการความยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้อาร์เซน่อลไม่เหมือนเดิม พวกเขากลายเป็นทีมระดับกลาง ผมเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้ และขอโทษแฟนบอลด้วย กับผู้คนที่รักสโมสร ผมเสียใจกับอดีตนักเตะของทีมที่พยายามรักษาชื่อเสียงของสโมสร”

“แต่ผมไม่ได้เสียใจกับนักเตะปัจจุบัน ผมคิดว่า มีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ จากนักเตะของทีมในตอนนี้ พวกเขาไม่สมควรใส่เสื้อของสโมสร พวกเขาควรจะมองกระจกและดูตัวเอง และแสดงความภาคภูมิใจออกมา”